วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2556

3. ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง (Review of Related Literatures)
     http://sitawan112.blogspot.com/2012/06/blog-post.html ได้รวบรวมไว้ว่า
วรรณกรรมหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง  (related literature) หมายถึง  เอกสารงานเขียนที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวข้องกับหัวข้อปัญหาที่ผู้วิจัยสนใจ วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องอาจมีหลายลักษณะ เช่น เป็นตำรา สารานุกรม  พจนานุกรม นามานุกรม ดัชนี รายงานสถิติ หนังสือรายปี บทความในวารสาร จุลสาร  ที่สำคัญก็คือรายงานผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับปัญหานั้น  ผู้วิจัยจะต้องทำการสำรวจอ่านทบทวนอย่างพินิจพิเคราะห์  ทักษะที่สำคัญของการทำวิจัยในขั้นตอนนี้คือ ทักษะในการสืบค้นหาสารนิเทศจากแหล่งต่าง ๆ และทักษะในการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ
    http://cai.md.chula.ac.th/lesson/research/re12.htm#06-3 กล่าว ไว้ว่า ก่อนที่จะวางแผนทำการวิจัยเรื่องใดก็ตาม ควรจะมีการทบวนวรรณกรรม ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เราจะทำวิจัย อย่างละเอียด และรอบคอบ เพื่อให้เข้าใจอย่างแท้จริง เกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ โดยในขั้นตอนแรก ต้องแน่ใจเสียก่อนว่า เรากำลังจะศึกษาเรื่องอะไร
แหล่งที่มาของวรรณกรรมเหล่านี้ อาจรวบรวมได้มาจาก กลุ่มผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น,ตำรามาตรฐาน ในสาขาที่จะทำวิจัยวารสารต่าง ๆ , Current Contents ซึ่งรวบรวมสารบัญของสาขาต่าง ๆ เอาไว้, Index Medicus, Science Citation Index หรือ MEDLINE ( MEDLARS on LINE) ซึ่งเป็นระบบวิเคราะห์ จัดเก็บ และเรียกใช้ ข้อมูลทางการแพทย์ โดยอาศัยคอมพิวเตอร์มาช่วย เป็นต้น
เมื่อ ค้นได้รายงานงานต่าง ๆ ออกมาแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือ ต้องแสดงให้เห็นถึง ความสามารถในการใช้วิจารณญาณ ในการประเมิน บทความเหล่านั้น โดยความจะ วิเคราะห์ออกมา ใน 2 ประเด็น คือ
   ก. บทความนั้นถูกต้องและเชื่อถือได้หรือไม่ ?
   ข. สามารถประยุกต์ (applicable) เข้ากับเรื่องที่เราจะศึกษาหรือไม่ ?
จาก ผลการวิเคราะห์ ถ้าพบว่า เรื่องที่เรากำลังจะศึกษา มีผู้อื่นทำไปแล้ว ด้วยรูปแบบการวิจัย และระเบียบวิธีวิจัย ที่ถูกต้อง เชื่อถือได้ และสามารถ ตอบคำถามของการวิจัย ของเราได้ชัดเจนแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะมาทำวิจัยซ้ำ ให้เสียทั้งเวลา และงบประมาณอีก เป็นการลดความซ้ำซ้อน ไปได้ระดับหนึ่ง
อย่าง ไรก็ตาม งานวิจัยที่มีผู้ทำไว้แล้ว เราอาจจะทำใหม่ได้ ถ้าผลการวิเคราะห์ พบว่ารายงานที่ทำไปแล้ว ไม่ถูกต้อง หรือไม่น่าเชื่อถือ เช่น รูปแบบการวิจัย ไม่เหมาะสม ระเบียบวิธีวิจัยไม่ถูกต้อง หรือผลนั้น ไม่สามารถประยุกต์ เข้ากับประชากรของเราได้
การส รูป การศึกษารายงานอื่น ที่เกี่ยวข้อง ควรสรุป วิเคราะห์ออกมาว่า รายงานทั้งหมด เกี่ยวกับเรื่องนั้น มีจำนวนเท่าไร ในจำนวนนั้น ที่มีน่าเชื่อถือได้กี่เรื่อง ที่ไม่น่าเชื่อถือมีปัญหาอะไรบ้าง และในจำนวนที่เชื่อถือได้นี้ มีที่เห็นด้วยกับสมมติฐานของเราเท่าไร และมีที่คัดค้านเท่าไร โดยสรุปออกมาให้ได้ว่า ในกรอบความรู้นั้น มีอะไรที่ทราบแล้ว และมีอะไรที่ยังไม่ทราบ โดยทั่วไป ควรจะวิเคราะห์ออกมา ในลักษณะที่ว่า ความรู้เท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่สามารถตอบปัญหา การวิจัยของเราได้ จึงจำเป็น ต้องทำวิจัยในเรื่องนี้ โดยระบุว่า เมื่อทำวิจัยเสร็จแล้ว จะนำผลการวิจัย ไปใช้ประโยชน์อย่างไรได้บ้าง
การ เขียนโครงร่าง การวิจัยในส่วนนี้ ควรบรรยายในลักษณะ การสรุปวิเคราะห์ ดังกล่าวมาแล้ว ไม่ใช่นำรายงานเหล่านั้น มาย่อ หรือยกเอาบทคัดย่อ (abstract) ของแต่ละบทความ มาปะติดปะต่อกัน เพราะจะทำให้เหตุผลต่าง ๆ อ่อนลงไปมาก
    https://sites.google.com/site/businessresearce/kar-wicay-thang-thurkic/kar-kheiyn-xeksar-laea-ngan-wicay-thi-keiywkhxng ได้กล่าวว่า การศึกษาผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องหรือการตรวจเอกสาร (Review of related literature) บาง ตำราเรียกว่า การทบทวนวรรณกรรม เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้ทราบว่าเรื่องที่จะทำวิจัยนั้นได้มีใครทำวิจัยเรื่องนี้ไว้บ้าง หากมีผู้ทำวิจัยแล้ว ควรพิจารณาเรื่องการใช้ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง วิธีการเก็บข้อมูล การใช้สถิติวิเคราะห์ข้อมูลและผลการวิเคราะห์ข้อมูล ทำให้งานวิจัยของผู้วิจัยมีความน่าสนใจ และเลือกตัวแปรในการวิจัยได้ดีขึ้น วัตถุประสงค์ของบทนี้มีดังต่อไปนี้
     1.   อธิบายความหมาย ประโยชน์ที่ได้รับจากการทบทวนวรรณกรรมได้
     2.   สามารถบอกแหล่งที่ใช้ในการค้นหาวรรณกรรมได้
     3.   สามารถสืบค้นวรรณกรรมได้
     4.   สามารถเขียนรายงานเอกสารที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยได้
การศึกษาเอกสารและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องที่เรียกว่าการตรวจเอกสาร(Review of Related Literature) เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้ทราบเรื่องที่ตนกำลังทำวิจัยนั้น ได้มีหลักการและทฤษฎีอะไรบ้างและได้ผลเป็นอย่างไร หากมีผู้ทำวิจัยไว้แล้วจะต้องพิจารณาต่อไปว่ามีการใช้ประชากรและกลุ่ม ตัวอย่าง และการเก็บข้อมูลอย่างไร การใช้สถิติวิเคราะห์ ข้อมูลและผลการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นอย่างไร ดังนั้นการศึกษาเอกสารหรือวรรณกรรมนั้นจำเป็นต้องการอ่านเก็บรวบรวมประเด็น แนวคิด ระเบียบวิธีการวิจัยจองผลงานวิจัย หรือเอกสารสิ่งพิมพ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ หรือประเด็นของปัญหาการวิจัย คำว่า “วรรณกรรมใน ที่นี่หมายถึง ผลงานวิจัยและทฤษฎีต่างๆที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้จุดประสงค์หลักในการศึกษาผลงานวิจัย คือการศึกษาดูว่าในประเด็นที่ต้องการวิจัยนั้นมีผู้ใดได้ศึกษาหรือเขียน ทฤษฎีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้มาแล้วบ้างและได้ค้นพบอะไรหรือได้อธิบายไว้อย่างไร มีตัวแปรอะไรบ้างที่เคยผ่านการศึกษาหรือใช้อธิบายมาบ้างแล้ว ตัวแปรใดบ้างที่สำคัญหรือไม่สำคัญ สมมุติฐานและคำอธิบายต่างๆ ที่ผู้วิจัยในอดีตใช้ในการศึกษา ระเบียบวิธีวิจัยที่ใช้ในการเก็บข้อมูลและปัญหาที่เกิดขึ้นจากระเบียบวิธี วิจัยและเครื่องมือต่างๆ ที่ใช้ในการวัดผลและคำนิยามของตัวแปรต่างๆ ที่ใช้เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูล และผลที่ได้จากการวิเคราะห์ตลอดจนข้อสรุป การอภิปรายผล ข้อเสนอแนะของผู้วิจัย และนักทฤษฎีในอดีตเกี่ยวกับประเด็นที่ทำวิจัย
ใน การศึกษาผลการวิจัย ผู้ทำวิจัยควรทำการจดบันทึกสิ่งต่างๆ ที่ได้จากการทบทวนวรรณกรรมแต่ละชิ้นลงในบัตร เพื่อความสะดวกในการอ้างอิง และนำมาใช้เรียบเรียงในขั้นตอนต่อไป นอกจากเนื้อหาสาระที่ต้องการบันทึกแล้ว ผู้ทำวิจัยควรบันทึกชื่อบทความ ชื่อผู้เขียน ชื่อผลงานวิจัย ชื่อตำรา ชื่อวารสารหรือสิ่งพิมพ์ ตลอดจนเลขที่ของฉบับ ครั้งที่ของการพิมพ์เดือนและปีที่บทความนั้นได้รับการตีพิมพ์ ทั้งนี้เพื่อความสะดวกแก่การอ้างอิงและการค้นคว้าเพิ่มเติมในภายหลัง เป็นต้น

สรุป
     ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง คือ  เอกสารงานเขียนที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวข้องกับหัวข้อปัญหาที่ผู้วิจัยสนใจ วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องอาจมีหลายลักษณะ เช่น เป็นตำรา สารานุกรม  พจนานุกรม นามานุกรม ดัชนี รายงานสถิติ หนังสือรายปี บทความในวารสาร จุลสาร  ที่สำคัญก็คือรายงานผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับปัญหานั้น  ในกรอบความรู้นั้น มีอะไรที่ทราบแล้ว และมีอะไรที่ยังไม่ทราบ โดยทั่วไป ควรจะวิเคราะห์ออกมา ในลักษณะที่ว่า ความรู้เท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่สามารถตอบปัญหา การวิจัยของเราได้ จึงจำเป็น ต้องทำวิจัยในเรื่องนี้ โดยระบุว่า เมื่อทำวิจัยเสร็จแล้ว จะนำผลการวิจัย ไปใช้ประโยชน์อย่างไรได้บ้าง
การศึกษาผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องหรือการตรวจเอกสาร (Review of related literature) บาง ตำราเรียกว่า การทบทวนวรรณกรรม เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้ทราบว่าเรื่องที่จะทำวิจัยนั้นได้มีใครทำวิจัยเรื่องนี้ไว้บ้าง หากมีผู้ทำวิจัยแล้ว ควรพิจารณาเรื่องการใช้ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง วิธีการเก็บข้อมูล การใช้สถิติวิเคราะห์ข้อมูลและผลการวิเคราะห์ข้อมูล ทำให้งานวิจัยของผู้วิจัยมีความน่าสนใจ และเลือกตัวแปรในการวิจัยได้ดีขึ้น
อ้างอิง 
 http://cai.md.chula.ac.th/lesson/research/re12.htm#06-3  เข้าถึงเมื่อ 10 พฤศจิกายน2555
 http://sitawan112.blogspot.com/2012/06/blog-post.html เข้าถึงเมื่อ 10 พฤศจิกายน 2555
 https://sites.google.com/site/businessresearce/kar-wicay-thang-thurkic/kar-kheiyn-xeksar-laea-ngan-wicay-thi-keiywkhxng เข้าถึงเมื่อ 10 พฤศจิกายน 2555

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น